เที่ยวอารามกันดาน (Gandan Monastery) ประเทศมองโกเลีย
อารามกันดาน ชื่อเดิมคืออารามสีเหลือง (Shar sum) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1809 โดยบอกด์ ข่านที่ห้า (Bogdo Khan) แห่งมองโกเลียค่ะ ต่อมาปี ค.ศ. 1838 ย้ายมาตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูลานบาตาร์
เพื่อเป็นที่พำนักของบอกด์ ข่านที่แปด และองค์ดาไลลามะที่ 13 ออกแบบตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ทิเบตในศาสนาพุทธ โดยสถาปนิกชาวมองโกเลีย สร้างด้วยไม้ อิฐ และดิน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอารามกันดานเท็กชินเลน (Gandantegchinlen Monastery) ที่มีความหมายว่าสถานที่แห่งความสุขสมบูรณ์
และในปี ค.ศ. 1925 ได้ก่อสร้างรูปปั้นองค์พระอวโลกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์ที่สูงที่สุดในโลก ภายในอารามกันดานมีวัดหลายแห่ง และเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบันค่ะ
เมื่อเข้ามาภายในจะพบกับวัด Avalokiteshvara สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ลานกว้างด้านหน้าตรงกลางมีกระถางธูปขนาดใหญ่สีดำ และสถูปสีเหลืองทองคู่หรือเจดีย์ทรงระฆังคว่ำอยู่ด้านหน้า ภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ปางยืนในร่มที่สูงที่สุดในโลก ความสูง 26.5 เมตร
ต่อมาใน ค.ศ. 1930 ช่วงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล Khorloogiin Choibalsan ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโจเซฟสตาลินแห่งสหภาพโซเวียต ได้เข้ามาทำลายอารามทั่วประเทศกว่า 900 แห่ง สังหารลามะนักบวชนิกายมหายาน แบบธิเบตที่สวมหมวกเหลืองสีเหลืองสวมชุดสีเหลืองแดง จำนวนกว่า 15,000 องค์ รวมทั้งทำลายรูปปั้นองค์พระอวโลกิเตศวรให้ได้รับความเสียหาย เพราะต้องการนำทองคำ ทองแดงไปใช้สำหรับทำกระสุน และถูกสั่งปิดอารามในปี ค.ศ. 1938 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกองทัพแห่งสหภาพโซเวียต
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1944 ได้รับอนุญาตให้เปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 อาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ได้รับการบูรณะปรับปรุง ด้วยเงินสนับสนุนเงินสิ่งของมีค่าจากประชาชนภายในประเทศและต่างประเทศ ภายในสวยงามโดดเด่นด้วยรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ลงรักปิดด้วยทองคำแท้และทองคำเปลวทั้งองค์
ตกแต่งด้วย อัญมณีล้ำค่ากว่า 2,286 ชิ้น ห่อหุ้มด้วยผ้าปักทองคำ และผ้าไหมอีกชั้น มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม บริเวณรอบๆ ตกแต่งด้วยรูปปั้นที่มีสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เมื่อมองขึ้นไปจะพบกับเพดานทองคำสีเหลืองสุกสว่างงดงามน่าประทับมากๆ ค่ะ
เดินต่อมาจะพบกับวัด Orchidara สำหรับเป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญทางศาสนา ภายในวัดมีภาพเขียนผ้าพระบฏ หรือผ้าทังก้า (Patachitra) พุทธศิลป์ระดับสูง ลักษณะเป็นผ้าแถบวาดภาพพระพุทธเจ้า หรือภาพสัญลักษณ์ที่สรรเสริญบูชาพระพุทธเจ้า นิยมแขวนไว้ในสถานที่จัดพิธีกรรมในพุทธศาสนาสายวัชระยาน เช่น ชาวทิเบต เนปาล สิกขิม ภูฏาน เป็นต้น
สามารถม้วนเก็บติดตัวไปได้ง่ายสะดวก นำมาใช้ทดแทนพระพุทธรูป สำหรับเพื่อเผยแผ่ธรรมะในดินแดนห่างไกล และวัดVajradhara สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1840 – 1841 จุดเด่นสร้างจากหิน และอิฐทั้งหลัง เพดานตกแต่งด้วยเซรามิกเคลือบทองคำงดงามแปลกตาม ถัดมาวัด Dzu สร้างขึ้นต้นศตวรรษที่ 19 โดดเด่นด้วยรูปปั้นของพระพุทธเจ้ายืนอยู่กับสาวกสององค์บนแท่นบูชา
อาคาร Dedanprovan สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นอาคารสองชั้น และในปี ค.ศ. 1904 เป็นที่พักอาศัยขององค์ดาไลลามะที่ 13 ปัจจุบันเป็นห้องสมุดสำหรับอารามมีหนังสือมากกว่า 50,000 เล่ม ที่บรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงในเรื่องของสัตว์ บุคคล กับบุคคลต่างๆ ทั้งภาษามองโกเลีย ทิเบต และสันสกฤต
นอกจากนี้มีเครื่องมือผ่าตัดที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ภายในอารามเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ศึกษาด้านพุทธปรัชญา การแพทย์แผนโบราณ และโหราศาสตร์ มีพระสงฆ์จำพรรษากว่า 500 รูป การปฏิบัติพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาคล้ายคลึงกับประเทศไทย เช่น การจุดตะเกียง การถวายน้ำมันตะเกียง การสวดมนต์ อารามแห่งนี้ถือว่าเป็นแหล่งศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธของมองโกเลียเลยก็ว่าได้ค่ะ
ที่มา : yingpook.com
เมื่อเข้ามาภายในจะพบกับวัด Avalokiteshvara สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ลานกว้างด้านหน้าตรงกลางมีกระถางธูปขนาดใหญ่สีดำ และสถูปสีเหลืองทองคู่หรือเจดีย์ทรงระฆังคว่ำอยู่ด้านหน้า ภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ปางยืนในร่มที่สูงที่สุดในโลก ความสูง 26.5 เมตร
ต่อมาใน ค.ศ. 1930 ช่วงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล Khorloogiin Choibalsan ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโจเซฟสตาลินแห่งสหภาพโซเวียต ได้เข้ามาทำลายอารามทั่วประเทศกว่า 900 แห่ง สังหารลามะนักบวชนิกายมหายาน แบบธิเบตที่สวมหมวกเหลืองสีเหลืองสวมชุดสีเหลืองแดง จำนวนกว่า 15,000 องค์ รวมทั้งทำลายรูปปั้นองค์พระอวโลกิเตศวรให้ได้รับความเสียหาย เพราะต้องการนำทองคำ ทองแดงไปใช้สำหรับทำกระสุน และถูกสั่งปิดอารามในปี ค.ศ. 1938 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกองทัพแห่งสหภาพโซเวียต
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1944 ได้รับอนุญาตให้เปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 อาคารเป็นที่ประดิษฐสถานรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ได้รับการบูรณะปรับปรุง ด้วยเงินสนับสนุนเงินสิ่งของมีค่าจากประชาชนภายในประเทศและต่างประเทศ ภายในสวยงามโดดเด่นด้วยรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร ลงรักปิดด้วยทองคำแท้และทองคำเปลวทั้งองค์
ตกแต่งด้วย อัญมณีล้ำค่ากว่า 2,286 ชิ้น ห่อหุ้มด้วยผ้าปักทองคำ และผ้าไหมอีกชั้น มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม บริเวณรอบๆ ตกแต่งด้วยรูปปั้นที่มีสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา เมื่อมองขึ้นไปจะพบกับเพดานทองคำสีเหลืองสุกสว่างงดงามน่าประทับมากๆ ค่ะ
เดินต่อมาจะพบกับวัด Orchidara สำหรับเป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญทางศาสนา ภายในวัดมีภาพเขียนผ้าพระบฏ หรือผ้าทังก้า (Patachitra) พุทธศิลป์ระดับสูง ลักษณะเป็นผ้าแถบวาดภาพพระพุทธเจ้า หรือภาพสัญลักษณ์ที่สรรเสริญบูชาพระพุทธเจ้า นิยมแขวนไว้ในสถานที่จัดพิธีกรรมในพุทธศาสนาสายวัชระยาน เช่น ชาวทิเบต เนปาล สิกขิม ภูฏาน เป็นต้น
สามารถม้วนเก็บติดตัวไปได้ง่ายสะดวก นำมาใช้ทดแทนพระพุทธรูป สำหรับเพื่อเผยแผ่ธรรมะในดินแดนห่างไกล และวัดVajradhara สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1840 – 1841 จุดเด่นสร้างจากหิน และอิฐทั้งหลัง เพดานตกแต่งด้วยเซรามิกเคลือบทองคำงดงามแปลกตาม ถัดมาวัด Dzu สร้างขึ้นต้นศตวรรษที่ 19 โดดเด่นด้วยรูปปั้นของพระพุทธเจ้ายืนอยู่กับสาวกสององค์บนแท่นบูชา
อาคาร Dedanprovan สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นอาคารสองชั้น และในปี ค.ศ. 1904 เป็นที่พักอาศัยขององค์ดาไลลามะที่ 13 ปัจจุบันเป็นห้องสมุดสำหรับอารามมีหนังสือมากกว่า 50,000 เล่ม ที่บรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แสดงในเรื่องของสัตว์ บุคคล กับบุคคลต่างๆ ทั้งภาษามองโกเลีย ทิเบต และสันสกฤต
นอกจากนี้มีเครื่องมือผ่าตัดที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ภายในอารามเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ศึกษาด้านพุทธปรัชญา การแพทย์แผนโบราณ และโหราศาสตร์ มีพระสงฆ์จำพรรษากว่า 500 รูป การปฏิบัติพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาคล้ายคลึงกับประเทศไทย เช่น การจุดตะเกียง การถวายน้ำมันตะเกียง การสวดมนต์ อารามแห่งนี้ถือว่าเป็นแหล่งศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธของมองโกเลียเลยก็ว่าได้ค่ะ
ที่มา : yingpook.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น